ขอลี้ภัยแล้ว.แต่“สัญชาติไทย”ยังกักขังความเป็นคนไทย


จรรยา ยิ้มประเสริฐ

12 พฤศจิกายน 2557



ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของการที่ผมเดินทางเข้าลอนดอนโดยไม่มีวีซ่า เพราะเข้าใจผิดว่าเดินทางด้วยหนังสือเดินทางของฟินแลนด์แล้วจะไม่ต้องใช้วีซ่า แต่ความเป็นคน "สัญขาติไทย" ของผมเป็นข้อเท็จจริงทางระเบียบการเข้าเมืองอังกฤษว่าต้องมีวีซ่า ผมเลยต้องนอนที่ห้องกักตัวของสนามบิน Gadwick 1คืน เพื่อรอเดินทางกลับมาฟินแลนด์ในวันรุ่งขึ้น ..

เป็นความผิดพลาดของผม ที่ทำให้ผมได้ร่วมตระหนักถึงความรู้สึกของพี่น้องคนไทยที่ถูกกักกันและถูกจองจำเสรีภาพ


เพื่อนฝูงคงเห็นกันว่า ผมกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ที่จะเดินทางมาอังกฤษ เพื่อมาร่วมอยู่ในเวทีเสวนางานเปิดตัวหนังสือ “ประเทศไทย:ราชอาณาจักรในห้วงวิกฤต” ที่ Frontline Club กรุงลอนดอนในวันนี้ (วันที่ 12 พฤษจิกายน) เพราะนอกจากจะได้มีโอกาสได้พบกับแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ที่ได้พูดคุยผ่านอินเตอร์เนตกันมาตั้งแต่ปี 2553 ผมยังวางแผนไปพบกับเพื่อนนักกิจกรรมชาวอังกฤษ และที่อยู่อังกฤษอีกหลายคน ที่ช่วยกิจกรรมรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทยกันมาอย่างยาวนานด้วยเช่นกัน

ซึ่งผมได้ประสานงานที่จะได้พูดคุยกับเพื่อนชาวไทยและชาวอังกฤษไปหลายคน เพื่อจะไปแลกเปลี่ยนเรื่องสถานการณ์การเมืองไทย และชวนกันคิดหาหนทางจะทำอะไรก้นได้บ้างในการรณรงค์ที่อังกฤษ และยุโรป

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมจึงประกาศขายหนังสือที่ผมเขียนมาอย่างต่อเนื่องเพื่อระดมทุน ซึ่งเมื่อรวมกับเงินของตัวเอง เงินจากการขายหนังสือ และเงินที่ผู้คนสนับสนุนให้มา (รวมกันก็ร่วมร้อยชีวิต) ผมก็ได้เงินพอค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าซื้อคอมพิวเตอร์ Mac Book Pro คอมพิวเตอร์คุณภาพสูงและราคาก็ไม่ใช่น้อย จนสามารถซื้อมันได้ในนาทีสุดท้ายก่อนเดินทางไปสนามบินเฮลซิงกิเพื่อบินไปยังลอนดอนเมื่อวานนี้ ( 11 พ.ย.) ตอนบ่าย

แต่มันก็เป็นความสะเพร่าของผมอย่างที่ไม่น่าให้อภัย เพราะผมคิดว่าในเอกสารที่ออกโดยฟินแลนด์ ผมไม่จำเป็นต้องมีวีซ่าเข้าอังกฤษ ประกอบกับ ผมไม่เจอปัญหาหรือการท้วงติงใดเลย นับตั้งแต่ การซื้อตั๋วเครื่องบินเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมไปถึงการเช็คอิน และผ่านขั้นตอนขาออกของด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ฟินแลนด์ …

แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบิน Gatwick ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเข้มงวดกับการตรวจคนเข้าเมือง และไม่ปรานีในการส่งคนกลับประเทศวันละเป็นร้อยคน … กรณีของผม เมื่อเจ้าหน้าที่บอกว่า หนังสือเดินทางฟินแลนด์ และบัตรประจำตัวฟินแลนด์ ที่ในระบบที่ผมเช็คแล้วเช็คอีกว่ามันระบุไว้ว่า เป็นเอกสารการเดินทางเข้าอังกฤษได้ มันใช้ไม่ได้กับผม ตรงที่ "ผมไม่ได้มีสัญชาติฟินน์" ​“ผมเป็นคนไม่มีสัญชาติ” และการมีชาติกำเนิด “เป็นคนไทย” เจ้าหน้าที่บอกว่าผม “ต้องมีวีซ่า" เข้าประเทศอังกฤษ

นี่เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี ของการเดินทางรณรงค์เพื่อสิทธิและเสรีภาพ ที่ต้องเรียนรู้และแบ่งปันให้เพื่อนๆ ที่เดินทางด้วยเอกสารเช่นเดียวกับผมได้ระมัดระวัง เพื่อจะได้ไม่เกิดความผิดพลาดเช่นเดียวกับผมครับ

ในขณะที่ผมอยู่ในระหว่างการสอบสวนและรอการตัดสินใจว่าของทางตรวจคนเข้าเมืองอังกฤษ และต้องอยู่ในห้องกักตัวนั้น ผมได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ทุกคนเป็นอย่างดี เจ้าหน้าที่เจ้าของคดีผมน่ารักมาก พยายามช่วยโทรประสานงานกับเพื่อนและเจ้าภาพที่จัดงาน เพื่อให้ได้โทรอธิบายสถานการณ์ถึงความจำเป็นที่ผมต้องมาพูดในเวทีสนทนาเรื่องเมืองไทยในวันนี้ และคุยกับผมยาว เพื่อเขียนรายงานส่งหัวหน้าให้เข้าใจสถานการณ์ของผม และเธอก็มาบอกผมด้วยความเสียใจว่า ไม่สามารถช่วยให้ผมเดินทางผ่านได้จริงๆ

แม้แต่เจ้าหน้าที่ในห้องกักตัวก็ยังบอกกับผมด้วยความเห็นใจ แต่ก็บอกว่า ทางการอังกฤษเข้มงวดมากขึ้นในการตรวจคนเข้าเมือง โดยเฉพาะนับตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 และทุกวันที่ด่าน ตม. ของอังกฤษ ต้องส่งคนที่ไม่มีวีซ่า - เพราะเข้าใจถูกในหลักการ แต่ทำผิดที่ไม่ขอวีซา - กลับประเทศกันวันละเป็นร้อยคน ไม่ว่าจะเป็นคนอเมริกัน แคนาดา ออสเตรเลีย บางทีก็ทั้งแม่และลูก
สำหรับผมนั้น ต้องยอมรับว่าในช่วงแรก ผมช็อค ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเจอปัญหานี้กับตัวเอง แต่เมื่อเริ่มต้นเขียนบอกเล่าเหตุการณ์นี้ที่บนความสูงสามหมื่นฟุต ในเครื่องบินที่นำพาผมกลับมายังฟินแลนด์ นั้น แม้จะใจหายและเสียดายที่ไม่ได้ร่วมในเวทีเสวนาวันนี้ด้วยตัวเอง แต่ต้องดำเนินการผ่านสไกด์วีดีโอ แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณที่ได้มีประสบการณ์ตรงของ “การถูกกักกันและจำกัดเสรีภาพ” เพราะความเป็น “คนไทย” และ ผู้ลี้ภัยการเมืองที่ “ไร้สัญชาติ” อันเป็นปัญหาที่เพื่อนร่วมชาติจำนวนมากต้องพบเจอกันทุกเมื่อเชื่อวัน

ทำไมผมจึงรู้สึกขอบคุณ …


ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผม ทั้งความไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะไม่รอบคอบเช่นนี้ และความเสียใจที่ทรัพยากรที่ทุ่มเทไปเพื่อโอกาสจะได้ใช้มันที่อังกฤษ จะเป็นการเสียเปล่า ทั้งความเสียใจที่ทำหน้าที่ให้สมกับความสนับสนุนของเพื่อนและผู้สนับสนุนนับร้อยคนที่ช่วยกันซื้อหนังสือและสนับสนุนเครื่องมือทำงานให้ผมได้ไม่สำเร็จในครั้งนี้ รวมทั้งบรรยากาศในสภาพของการถูกตรวจสอบ กักกัน สอบสวน แม้จะเป็นไปด้วยความสุภาพและเข้าใจในส่ิงที่ผมทำ แต่มันก็ไม่เป็นที่พึงประสงค์ของผู้ใดทั้งนั้น ….

แต่เมื่อผมย้อนตระหนักถึง ความไม่คาดคิด ความหวาดหวั่น หวาดกลัว หรืออับอาย ของคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ถูกทหารเรียกตัวไปสอบสวนและควบคุมตัวในข้ออ้างสวยหรูว่าเพื่อการ “ปรับทัศนคติ” ที่เมืองไทยนั้น สิ่งที่ผมเจอนั้น มันยังเป็นเรื่องน้อยนิดมาก เทียบกับสิ่งที่คนที่เมืองไทยต้องเจอะเจอกันทุกเมื่อเช่ือวันไม่ได้เลย … ผมจึงทำใจยอมรับความผิดพลาดครั้งนี้ได้ว่า นี่เป็นสถานการณ์ที่ต้องรับมือกับมันด้วยความเข้มแข็งและมีสติ

ในระหว่างที่อยู่ในห้องกักตัว ผมนึกถึงพี่สมยศ ดา กอล์ฟ แบงค์ เอก และสหายที่รักและเคารพที่ไม่อาจจะเอ่ยนามได้ ที่ถูกส่งเข้าคุกและห้ามประกันด้วยข้อหาละเมิดมาตรา 112 กันอยู่ตอนนี้ และผมตระหนักดีว่า 1 คืนของผมในห้องกักตัวที่สนามบิน Gadwick นั้นเทียบไม่ได้แม้แต่ความรู้สึกเพียงนาทีหรือชั่วโมงเดียว ที่เพื่อนฝูงต้องเผชิญในคุกโหดที่เมืองไทย ที่สิ้นไร้ไปเสียทุกสิ่ง และคนที่เจอคดี 112 และคดีการเมือง มักจะถูกกลั่นแกล้งรังแกทั้งจากเจ้าหน้าที่และคนร่วมคุกอื่นๆ

ในกรณีของผม มันเป็นหนึ่งคืนในห้องกักตัวที่ไม่ลำบากนัก มีทั้งทีวี หนังสือ หนังสือพิมพ์ วารสาร คุ้กกี้ ผลไม้ ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ รวมทั้งหมอนที่มีปลอกหมอนผ้าห่มใหม่มาให้คนละชุด และยังมีเจ้าหน้าหลายคนคอยแวะเวียนมาถามกันเรื่อยๆ ว่า หิวไหม จะทานอะไรไหม จะดื่มอะไรไหม กาแฟ ชา หรือโก้โก้ไหม แล้วก็พากันกุลีกุจอ จัดหาอาหาร เครื่องดื่มมาให้เมื่อเราต้องการ (จริงๆ หลายคนก็กินหรือดื่มอะไรกันไม่ลงด้วยล่ะในสภาพแบบนั้นที่ไม่พร้อมจะถูกส่งกลับบ้านเกิด ที่หลายคนก็มีปัญหาที่ไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับมัน)

ในห้องกักกัน ก็มีตู้โทรศัพท์ให้โทรออกได้ และให้คนโทรเข้ามาหาได้ ถ้าเราไม่มีเงินหยอดตู้ รวมทั้งเบอร์ทนายที่ติดหราข้างตู้โทรศัพท์สำหรับคนที่คิดว่าต้องการทนายช่วยเหลือ หรือต้องการขอลี้ภัย

ทั้งนี้ ผมไม่พบเห็นพฤติกรรมที่เจ้าหน้าที่ข่มขู่ให้รับสารภาพผิดเช่นที่พวกเราได้ยินกันอยู่ตลอดเวลาในคดีของคนเสื้อแดงที่เมืองไทย แต่เจ้าหน้าที่เกือบทุกคนที่ผมพบเจอในครั้งนี้ ต่างก็ได้พยายามช่วยให้ผมได้ประสานงานกับเพื่อน เพื่อหาทางเจรจากับทางตม. และยังอนุญาตให้ผมใช้โทรศัพท์ติดต่อเพื่อนและเจ้าภาพจัดงานได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ผมยังนึกถึงคนงานไทยวันละหลายร้อยคนที่ถูกกักตัวที่สนามบินของประเทศเกาหลีใต้ หรือประเทศต่างๆ ที่ระบุว่าคนไทยสามารถเดินทางไปขอวีซ่าที่ประเทศปลายทางได้แต่พวกเขาก็ต้องถูกปฎิเสธไม่ให้เข้าประเทศ เพราะถูกหมายหัวว่า ถ้าเมื่อเข้าประเทศได้แล้ว จะหลบหนีวีซ่าเพื่อทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต พวกคนหางานเหล่านี้ ก็คงจะอยู่ในสภาพไม่ต่างจากผม และพวกเขาต้องเสียเงินมากมายไปกับความเสี่ยงนี้ให้กับตัวแทนนายหน้าที่หลอกลวงพาพวกเขาไป “ตายเอาดาบหน้า”

ณ ตอนนี้ ที่บ้านสหายชาวฟินแลนด์ที่กรุงเฮลซิงกิ ยามเมื่อผมได้นั่งเขียนเล่าเรื่องราวการถูกกักตัว ผมก็มานึกถึงประเด็นที่คนคลั่งเจ้ามักอ้างกันด้วยความคิดความเชื่ออย่างคะนองปากว่า "ประเทศไทยเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน" และชอบไล่คนไทยคนอื่นๆ ที่ไม่รักกษัตริย์กันอย่างง่ายดายเหลือเกินว่า “ไม่รักเจ้าก็ไปอยู่ประเทศอื่น” “ไม่รักเจ้าก็ไม่ต้องเป็นคนไทย” …


แต่แหม พี่น้องชาวไทยเอ๊ย แม้หลายคนจะไม่ได้รัก “ไทย” กันจนจะเป็นจะตาย แต่ชาติกำเนิด ชาติพันธุ์ มันติดตัวและเป็นอัตลักษณ์ของคนที่เกิดในแดนไทย มันไล่กัน หรือทิ้งกัน ได้ง่ายๆ เสียทีไหน

ขนาดผมมีทั้งบัตรประจำตัวประชาชนฟินแลนด์ หนังสือเดินทางฟินแลนด์ แล้วก็ตาม ไอ้ความเป็นคน “สัญชาติไทย” ยังไม่อาจปล่อยผมให้เป็นอิสระ และมันยังสามารถกักขังผมได้ในดินแดนอื่นได้อยู่เช่นนี้

ไม่ว่าจะต้องการสัญชาติ"ไทย" หรือไม่ต้องการสัญชาติ "ไทย" หรือจะปกป้องหรือไม่ต้องการปกป้องสัญชาติ "ไทย" ก็ตาม … มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้กล่าวอ้างเพื่อครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียวได้ง่ายๆ หรือว่าเมื่อต้องการจะละทิ้ง มันก็จะละทิ้งกันไม่ได้ง่ายๆ เช่นกัน

นี่จึงเป็นสาเหตุใหญ่ที่ว่าทำไม ผมถึงต้องต่อสู้เพื่อสิทธิในความเป็นคนไทย สิทธิในการอยู่อาศัยในแผ่นดินไทย และสิทธิในการเรียกร้องเสรีภาพในแผ่นดินไทย เพื่อให้มันเป็นแผ่นดินของทุกคน ไม่ใช่ของคนคลั่งเจ้า "เท่านั้น" ตามที่มักแอบอ้างกัน

อ้อ เนื่องจากไม่ค่อยมีคนไทยถือเอกสารของประเทศอื่นในฐานะผู้ลี้ภัยการเมืองมากนัก มันจึงเป็นเรื่องใหม่ที่นำมาสู่ความผิดพลาดทั้งตัวคนลี้ภัยเอง (ผมเองในที่นี้ ... ฮา) และหน่วยงานตม. ของประเทศทั้งหลาย

สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมจึงเป็นความรู้ไม่เท่าทันในทางเทคนิคล้วนๆ ไม่ได้มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แม้แต่สายการบินที่ผมบิน ก็ยอมรับในความผิดพลาดที่ขายตั๋วให้คนไม่มีวีซ่า ในระหว่างรอเจ้าหน้าที่ตม. ไปรับที่เครื่องบินเพื่อนำผ่านกระบวนการตม. กลับคืนสู่ประเทศฟินแลนด์ ผมก็มีโอกาสได้พูดคุยกับกัปตันเครื่องบินและลูกเรือ คุยกันอย่างเป็นกันเอง ผมจึงได้มีโอกาสเล่าเรื่องรับประหาร และเรื่องการเมืองไทยให้กัปตันและลูกเรือฟัง ก่อนลงจากเครื่อง กัปตันรีบไปหยิบช็อคโกแล็ตสองชิ้นเล็กๆ มายื่นมอบให้ผม บอกว่าเป็นของปลอบใจที่ต้องเจอปัญหาเช่นนี้ …

เกือบลืมเล่าไปว่า ในห้องกักตัวของพวกเรานั้นจะมีนามบัตรวางไว้ให้พวกเราได้เห็นและเก็บไว้ เขียนตัวหนังสือตัวโตว่า "Speak Freely” หรือแปลไทยได้ว่า "พูดออกมาได้อย่างเสรี" หรือ ภาษาชาวบ้านก็ว่า "อยากพูดอะไรก็พูดออกมาได้เต็มที่เลย" พร้อมเบอร์โทรศัพท์ตัวโตในด้านหลังของนามบัตรนี้ ทั้งเบอร์โทรจากประเทศอังกฤษ และโทรจากต่างประเทศ



นี่ละครับ ความผิดพลาดของที่ผมต้องขอบคุณ ที่นอกจากทำให้ผมมีโอกาสเล็กๆ ได้ร่วมชะตากรรมกับเพื่อนและสหายที่เมืองไทยแล้ว มันก็ยังทำให้ผมเห็นกลไกการทำงานของหน่วยงานของด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเข้มงวดที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง กระนั้น ผมก็ยังได้มีโอกาสเห็นระบบการทำงานที่ยังมีการยึดโยงกับหลักการและเหตุผลอยู่บ้าง … ไม่เหมือนกับกระบวนการยุติธรรมที่ตั้งอยู่บน "อารมณ์และความรู้สึก" กันไปเกือบจะทุกภาคส่วนในทุกสถาบันที่ประเทศบ้านเกิดของผมที่ชื่อว่า "ไทยแลนด์"